วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

8 นโยบายการศึกษา "จาตุรนต์ ฉายแสง"

8 นโยบายการศึกษา "จาตุรนต์ ฉายแสง"
» โพสต์เมื่อ วันที่ 12 กรกฎาคม 2556
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 212/2556

8 นโยบายการศึกษา "จาตุรนต์ ฉายแสง"

ศึกษาธิการ - นายจาตุรนต์  ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แถลงนโยบายการศึกษา พร้อมประกาศ 8 นโยบาย เพื่อเร่งรัดดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล และสานต่องานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2556 ที่ห้องประชุมราชวัลลภ

>>  ย้ำการพัฒนาคน เป็นโจทย์สำคัญของการปฏิรูปการศึกษา และยกระดับพัฒนาประเทศ
 รมว.ศธ.กล่าวว่า การปฏิรูปการศึกษาได้พิจารณาจากโจทย์ใหญ่ คือขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในสังคมขนาดใหญ่ ในภูมิภาคและสังคมโลก ในขณะที่ปัจจุบันได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งสหรัฐอเมริกา ทวีปยุโรป รวมทั้งประเทศใหญ่ๆ ของทวีปเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แม้บางประเทศ เช่น จีน จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร็วมาก ก็ได้รับผลกระทบดังกล่าวทำให้มีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจลง ในสภาพเช่นนี้จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องเตรียมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อที่จะให้อยู่รอดในภาวะการณ์ปัจจุบันหรือในอนาคตต่อไป นอกจากนี้จะมีการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน พร้อมทั้งความพยายามที่จะเชื่อมโยงกันของกลุ่มประเทศอาเซียนกับนอกภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย
การจะสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน จึงจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบ Logistics ที่สำคัญของประเทศ เช่น ด้านการคมนาคม การสื่อสาร ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนและกำลังเร่งดำเนินการในขณะนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ  แต่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่สำคัญมากและขาดไม่ได้ คือ "การพัฒนาคน" เพราะฉะนั้นจึงเป็นโจทย์ที่สำคัญของการจัดการศึกษาและปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย
การศึกษาต้องเดินหน้าสู่การสร้าง การพัฒนา เตรียมความพร้อมให้สอดคล้องกับสังคมโลก โดยเฉพาะสังคมโลกในศตวรรษที่ 21 เป็นผลจากการปฏิวัติด้านดิจิทัล (Digital Revolution) และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ที่ทำให้โลกทั้งโลกเชื่อมโยงและสื่อสารถึงกันได้อย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องสร้างและพัฒนาให้คนเป็นทรัพยากรมนุษย์ ที่มีความสามารถ มีทักษะ ความถนัด ความชำนาญพร้อมจะขับเคลื่อนและยกระดับการพัฒนาประเทศสู่การเป็นประเทศพัฒนาในระดับที่สูงขึ้น


  


>>  ประกาศนโยบาย "2556 ปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา"
จากผลการประเมินการจัดอันดับโดย IMD พบว่าในปี ค.ศ.2013 การศึกษาไทยอยู่ในอันดับที่ 51 จาก 60 ประเทศ และผลการประเมินการทดสอบ PISA ทั้งด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน ในปี ค.ศ.2009 พบว่าเด็กไทยอยู่ในอันดับที่ประมาณ 50 จาก 65 ประเทศ ในขณะที่ผลการจัดอันดับ 400 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก โดย Times Higher Education World Rankings ในปี ค.ศ.2012-2013 พบว่ามีมหาวิทยาลัยไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอยู่ในกลุ่ม 351-400 เป็นสภาพที่เป็นจริงที่เราประสบอยู่
รัฐบาลปัจจุบันมีนโยบายด้านการศึกษาที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษา ซึ่งได้แถลงไว้ชัดเจนต่อรัฐสภา ให้มีการปฏิรูประบบการเรียนรู้ ซึ่งหมายความว่า  รัฐบาลมีความเข้าใจและกำหนดเป็นนโยบายที่ปฏิรูปการศึกษา และได้ดำเนินการมาเป็นลำดับ โดยนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ.คนล่าสุด ได้เริ่มดำเนินการปฏิรูปหลักสูตรอย่างตั้งใจและจริงจัง แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์ของสังคมโลก จากโจทย์ที่ประเทศนี้จะต้องรับมือ ก็มีความจำเป็นที่เราจะต้องยกเครื่องการศึกษาไทยให้มีคุณภาพ มาตรฐานในระดับสากล และสอดคล้องกับสังคมโลกยุคใหม่
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ควรจะประกาศให้ "การศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ" โดยกำหนดให้ปี 2556 จากนี้ไปเป็น "ปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา" ซึ่งหมายความว่า เราจะทำตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยพลังของสังคมทั้งสังคมมาช่วยกันขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแนวนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล และสานต่องานที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว

  
>>  เป้าหมายมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้คิด วิเคราะห์ เรียนรู้ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21
เพื่อให้ปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษาเป็นผลสำเร็จ จึงขอเสนอเป้าหมายมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคิด วิเคราะห์ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์และทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยภายในปี พ.ศ.2558 ซึ่งไปพ้องกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปีเดียวกัน ดังนี้
- ให้ผลการจัดอันดับการศึกษาไทย ผลการทดสอบ PISA ของไทย ให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้น
- ให้สัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษาต่อสามัญเพิ่มขึ้นเป็น 50 : 50
- ให้มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับโลกมากขึ้น
- ให้มีการกระจายโอกาสและเพิ่มความเสมอภาคทางการศึกษามากขึ้น
ทั้งนี้ โดยเน้นการส่งเสริมให้ภาคเอกชนที่มีศักยภาพเข้ามามีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ จัดและสนับสนุนการศึกษามากขึ้น คือวงการการศึกษา บุคลากรทางการศึกษาของรัฐทั้งหมด ต้องมีความเข้าใจร่วมกันว่า การศึกษาของภาคเอกชนเป็นกำลังสำคัญของประเทศ
8 นโยบาย ที่จะเร่งรัดดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล และสานต่องานที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว
 
1. เร่งปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิรูปให้มีความเชื่อมโยงกันทั้งหลักสูตรและการเรียนการสอน ให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่ การพัฒนาครู และการพัฒนาระบบการทดสอบ การวัดและประเมินผลที่ได้มาตรฐานและเชื่อมโยงกับหลักสูตรและการเรียนการสอน และการพัฒนาผู้เรียน
การที่ใช้คำว่า "ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน" ก็คือ เรื่องปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอน ต้องมีการทดสอบประเมินผล ซึ่งการทดสอบประเมินผลต้องคำนึงถึงหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน ไม่ใช่เป็นการทดสอบที่ไม่สัมพันธ์กันหรือไม่คำนึงถึงการเรียนการสอน นอกจากนี้ การทดสอบของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติฯ ซึ่งโยงไปถึงระบบการรับบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ปัจจุบันยังส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวคือ หากจัดการทดสอบเหมือนที่ผ่านมา จะทำให้คนในวงการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งระบบไม่ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการศึกษาของตนเอง เนื่องจากผู้เกี่ยวข้อง คือ นักเรียน ครู ผู้ปกครอง เห็นความสำคัญของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากกว่าการเรียนในระบบ ความพยายามในการปฏิรูปการศึกษาจึงไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวไม่ให้ความสำคัญ
ส่วนการประเมินวิทยฐานะความก้าวหน้า ก็ควรจะต้องเชื่อมโยงกับหลักสูตรการเรียนการสอน การประเมินสถานศึกษา มีผู้กล่าวว่าควรให้เด็กคิดเป็นวิเคราะห์เป็น แต่ในบางครั้งก็ยังไม่ได้หารือร่วมกันว่าการเรียนการสอนและหลักสูตรเป็นอย่างไร จึงต้องใช้หลักสูตรเป็นแกนหลักเพื่อมุ่งไปที่ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน และมีผลต่อการพัฒนาครู ประเมินวิทยฐานะและความก้าวหน้าในวิชาชีพครูด้วย
ดังนั้นใน 6 เรื่อง คือ ปฏิรูปหลักสูตร ปฏิรูปการเรียนการสอน การทดสอบ/วัดและประเมินผลผู้เรียน การรับบุคคลเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย การประเมินวิทยฐานะและความก้าวหน้าในวิชาชีพครู และการประเมินสถานศึกษา ต้องเชื่อมโยงไปที่คุณภาพผู้เรียนและผลสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นหัวใจของนโยบายทั้งหมด

การที่จะดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ทั้งระบบ ต้องมีแนวทางดำเนินการ ดังนี้
 - ต้องเร่งรัดและสานต่อเรื่องปฏิรูปหลักสูตรให้ก้าวหน้าและให้แล้วเสร็จ โดยจะส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะชีวิตที่เหมาะสมทุกระดับชั้นการศึกษา
 - พัฒนากระบวนการเรียนการสอนในปัจจุบันและเพื่อรองรับหลักสูตรใหม่ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง มีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น สอดคล้องกับการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่ โดยจะเริ่มจากวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศ และการคิดวิเคราะห์
 - พัฒนาระบบทดสอบ วัดและประเมินผลทั้งภายในและภายนอก ให้เป็นเครื่องมือส่งเสริมการปฏิรูปการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีมาตรฐานเทียบเคียงได้กับนานาชาติ โดยเชื่อมโยงกับเนื้อหาสาระในหลักสูตรกับการเรียนการสอน รวมทั้งพัฒนาระบบการคัดเลือกบุคคลให้เข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการเรียนการสอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
 2. ปฏิรูประบบผลิตและพัฒนาครู
 ให้มีจำนวนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการ มีความรู้ ความสามารถในการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรปัจจุบัน รองรับหลักสูตรใหม่ และการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่ รวมทั้งพัฒนาระบบประเมินวิทยฐานะครูให้เชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ดูแลระบบสวัสดิการ และลดปัญหาที่บั่นทอนขวัญ กำลังใจของครู ให้ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนการสอนและคุณภาพผู้เรียน
 3. เร่งนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาใช้ในการปฏิรูปการเรียนรู้
 สร้างมาตรฐานการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) และพัฒนาเนื้อหาสาระ พัฒนาครู และการวัดประเมินผลที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งเพื่อเป็นเครื่องมือให้เกิดระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตในสังคมไทย
 ทั้งนี้ แท็บเล็ตเป็นเรื่องสำคัญหนึ่งในนโยบายการศึกษาของรัฐบาล ที่ผ่านมาเรามักจะเน้นเฉพาะการจัดให้เด็กได้มีแท็บเล็ต ซึ่งเป็นรายละเอียดว่าเด็กจะได้เมื่อไร จำนวนเท่าไร คืบหน้าไปแล้วอย่างไร หรือมีเนื้อหากี่รายกี่ชิ้น แต่เรื่องใหญ่กว่าที่จะต้องเร่งพัฒนา คือ "เนื้อหาสาระ" เพื่อจะให้มีทั้งเนื้อหาที่ควรรู้ รูปแบบของแบบทดสอบ แบบฝึกหัด เทคนิค นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ให้เด็กใช้กับแท็บเล็ต เพื่อทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ ได้ผลจริง เด็กได้รับผลที่ดีในการใช้งานดีกว่าไม่ใช้แท็บเล็ต ที่ต้องโยงไปกับการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่ที่มีข้อมูลข่าวสารไม่จำกัด ซึ่งหมายถึงจะต้องมีการพัฒนาครู เพื่อให้เข้าใจการสอนที่มีเนื้อหาสาระแบบนี้ เพราะในโลกยุคใหม่ เราไม่สามารถสอนแบบเดิม เช่น ให้เด็กค้นหาว่าคำนี้แปลว่าอะไร เด็กก็ไปค้นหาในเวลาไม่นาน ก็สามารถตอบได้ แต่จะทำอย่างไรให้การสอนที่ส่งเสริมให้เด็กได้รู้จักค้นหา คิด วิเคราะห์ ทำความเข้าใจ และสามารถตั้งคำถามได้เอง ฯลฯ ซึ่งเนื้อหาที่บรรจุลงในแท็บเล็ตจะต้องมีมาตรฐานที่ผู้เชี่ยวชาญบอกได้ว่า เนื้อหาสาระใดจะช่วยสร้างเด็กได้จริง เป็นประโยชน์จริง ไม่ใช่ใครคิดหรือประดิษฐ์แบบเรียน แบบฝึกหัด เนื้อหาสาระอะไรขึ้นมาได้ ก็บรรจุลงไปในแท็บเล็ต ซึ่งตรงนี้ยังขาดอยู่ และเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการต่อไป
4. พัฒนาคุณภาพการอาชีวศึกษาให้มีมาตรฐานเทียบได้กับระดับสากล ให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ
 โดยผลักดันให้เกิดการใช้กรอบคุณวุฒิวิชาชีพต ามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ มาใช้กำหนดทักษะความรู้ความสามารถที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ ผู้มีงานทำ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้า โดยได้รับค่าตอบแทนตามสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น โดยไม่ขึ้นกับวุฒิการศึกษาทั้งแบบอนุปริญญาหรือปริญญา
 ความหมายคือ อาชีพนี้ ระดับนี้ มีความสามารถทางสมรรถนะมากเพียงใด อันจะช่วยทำให้สถานประกอบการหรือกิจการต่างๆ เพิ่มผลผลิตได้มากน้อยเพียงใด และจะแปรกลับมาเป็นรายได้ค่าตอบแทน ทั้งนี้คุณวุฒิวิชาชีพบางประเภท ผู้ได้รับการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพประเภทนี้ไม่จบปริญญาตรี แต่อาจจะมีรายได้หรือเงินเดือนสูงกว่าผู้จบปริญญาตรีก็ได้ ส่งผลถึงเส้นทางความก้าวหน้าทางอาชีพและรายได้ ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษาต่อสามัญเป็น 50:50 และทำให้คนต้องการเข้ามาเรียนสายอาชีวศึกษามากขึ้น เพราะเป็นความก้าวหน้ามีรายได้สูง มีสมรรถนะ ทั้งยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของการอาชีวศึกษาด้วย
 5. ส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาเร่งพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน มากกว่าการขยายเชิงปริมาณ
 ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยให้มีการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาของไทย เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน และจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพัฒนาสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก (World Class University) ให้มากขึ้น
รมว.ศธ.กล่าวว่า การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของไทยนั้น เป็นเรื่องที่ต้องแลกเปลี่ยนความเห็น หาองค์ความรู้มากพอสมควร เพื่อให้เห็นพ้องต้องกัน เพราะมหาวิทยาลัยของไทยที่ติดอันดับในกลุ่ม 351-400 มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ส่วนมหาวิทยาลัยที่เหลือจะมีคุณภาพอย่างไร คำตอบคือไม่ค่อยมีใครทราบมากนัก ซึ่งคำถามคือเราจะพัฒนาการอุดมศึกษาอย่างไร หากใช้ความคิดว่าทำอะไรได้ดีที่สุดก็ทำกันไป แต่การที่จะรู้ว่ามหาวิทยาลัยใดสอนเป็นอย่างไร แนวทางหนึ่งคือเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ แต่อีกแนวทางหนึ่งคือควรให้เปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยด้วยกันเอง โดยใช้กติกาหรือเงื่อนไขที่เหมาะสมและเป็นสากล เพื่อให้คนในวงการศึกษาได้ทราบว่ามหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นอย่างไร และมหาวิทยาลัยก็จะทราบว่าตัวเองเป็นอย่างไร ประการสำคัญคือทั้งสังคมก็จะได้รับทราบว่ามหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นอย่างไรด้วย ไม่ใช่เกิดความรู้สึกว่าหากมาจากมหาวิทยาลัยนี้ ก็รู้สึกจะเข้าท่าดี แต่มาจากอีกมหาวิทยาลัยก็รู้สึกจะไม่ค่อยเก่งด้านนั้น อันนี้ถือเป็นความรู้สึกและประสบการณ์ตรงเท่านั้น ไม่ได้อาศัยการวิเคราะห์และการประเมินที่เป็นระบบ
 ดังนั้น สาระสำคัญของนโยบายนี้ คือ ต้องการให้มีกระจก เพื่อให้มหาวิทยาลัยส่องตัวเอง และต้องการให้สังคมช่วยกันผลักดัน เพราะมหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานที่ต้องให้ความเป็นอิสระ ให้มหาวิทยาลัยคิดเอง ไม่ใช่เป็นการสั่งการจากรัฐมนตรี ขณะเดียวกันสังคมก็ต้องคิดกลไกว่าจะผลักดันให้มหาวิทยาลัยพัฒนาก้าวหน้าได้อย่างไร ความหมายในแง่นี้คือ สังคมกับมหาวิทยาลัยไม่เป็นอิสระจากกัน

  
 6. ส่งเสริมให้เอกชนและทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมจัดและสนับสนุนการศึกษามากขึ้น
 สนับสนุนความร่วมมือแบบเป็นหุ้นส่วนทางการศึกษารัฐและเอกชน (Public Private Partnership) ตลอดจนเปิดโอกาสให้เอกชนมีส่วนร่วมในการออกแบบหลักสูตร เป็นวิทยากร สนับสนุนการฝึกงานและเรียนรู้การทำงานจริงในสถานที่ทำงาน โดยในส่วนของการอาชีวศึกษานั้น การที่ภาคเอกชนเข้ามาร่วมจัดการศึกษาแบบทวิภาคี ก็ยังไม่เพียงพอ แต่ต้องร่วมจัดการศึกษาตลอดกระบวนการ คือต้องการหลักสูตรหรือกระบวนการแบบใด ต้องมากำหนดหลักสูตรร่วมกัน โดยรัฐมีหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมและอาศัยภาคเอกชนให้มามีบทบาทในการจัดการศึกษาให้มากขึ้น โดยรัฐควรมีหน้าที่ในการกำกับควบคุมเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาคุณภาพมาตรฐานการจัดการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรมุ่งกำกับควบคุมหรือห้ามเอกชน
 7. เพิ่มและกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
 เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มอายุได้รับบริการการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส และการพัฒนากองทุนเงินกู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (ICL) ให้สามารถเป็นกลไกในการพัฒนาคุณภาพ เพิ่มโอกาสและผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ โดยขอให้ดำเนินการให้เป็นไปตามแนวคิดของกองทุน ICL ตามที่ได้ก่อตั้งหรือริเริ่มขึ้นมา ซึ่งต้องอาศัยผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้สนใจที่เคยดำเนินการ เข้ามาช่วยดำเนินการอย่างจริงจัง
8. พัฒนาการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ด้วยการสนับสนุนและพัฒนาการศึกษาและสถานศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ สังคม อัตลักษณ์ และความต้องการประชาชนในท้องถิ่น โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัย การสร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา

  
>>  5 กลไก ในการขับเคลื่อน
 
เพื่อให้บรรลุผลตามนโยบาย และบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีกลไกขับเคลื่อน 5 ประการ ดังนี้
1. เร่งรัดจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา  ตามกฎหมายกำหนด ซึ่งนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ.คนล่าสุด ได้ดำเนินการใกล้จะเสร็จแล้ว กฎหมายดังกล่าวเพื่อเปิดโอกาสในการใช้ทรัพยากรให้มากขึ้น และประการสำคัญคือ จะทำให้เราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
2. จัดตั้งสถาบันเพื่อวิจัยหลักสูตรและพัฒนาการเรียนการสอน  เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมาตรฐาน การจัดทำหลักสูตรซึ่งมีการปรับปรุงเป็นระยะมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 ทั้งนี้เรื่องสำคัญของการศึกษาประเทศไทยเกี่ยวกับหลักสูตรก็คือ เราใช้วิธีเชิญผู้เชี่ยวชาญมาช่วยกันจัดทำ เมื่อจัดทำเสร็จแล้วก็ตีพิมพ์ จากนั้นผู้เชี่ยวชาญก็จะแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง และอาจจะนัดพบกันอีกครั้งในอีก 5-6 ปี แต่สิ่งที่ขาดไปก็คือ ควรมีองค์กรหรือกลไกที่จะทำการวิจัยพัฒนาเรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง มีเจ้าภาพที่ชัดเจน มีการประเมินได้ว่าองค์กรต่างๆ ทำงานก้าวหน้าไปแล้วอย่างไร หลักสูตรเป็นอย่างไร ครูนักเรียนมีความเห็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับการจัดทำหลักสูตรของต่างประเทศ จึงพบว่าหลักสูตรเล่มหนึ่งมีขนาดเล็ก แต่อ้างผลการวิจัยเต็มไปหมดทุกหน้าว่าเหตุใดจึงบอกว่าเด็กชั้นนี้ควรเรียนอะไร และในหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จ ก็มีองค์กรที่ดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ใช่วิธีเชิญผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งบางครั้งก็หลงลืม ไม่ได้ติดตามการศึกษา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งสถาบันเพื่อวิจัยหลักสูตรและพัฒนาการเรียนการสอน
3. สร้างความเข็มแข็งของกลไกการวัดผล ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผล  พัฒนาให้มีตัวชี้วัดคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของประเทศที่เทียบเคียงได้ในระดับสากล เพื่อประเมินผลสำเร็จของระบบการศึกษาไทยในภาพรวม ซึ่ง ศธ.ต้องหารือกับองค์กรต่างๆ เช่น สทศ. สมศ. เพื่อที่จะทำงานร่วมกัน
4. เร่งรัดให้มีพระราชบัญญัติอุดมศึกษา เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระและความรับผิดชอบต่อสังคมของสถาบันอุดมศึกษา
5. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด  เพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงาน องค์กร และกลไกที่เกี่ยวข้อง
>>  2 แนวทาง บริหารจัดการ
 
ในการบริหารงานให้เป็นไปตามนโยบายและกลไกดังกล่าวข้างต้น จะดำเนินการเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1. ตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนเรื่องสำคัญต่างๆ  เช่น ผลการทดสอบ PISA ของไทย เมื่อได้ตั้งเป้าหมายให้ผลการจัดอันดับการศึกษาไทยอยู่ในอันดับที่ดีขึ้น ก็จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยระดมผู้ที่เกี่ยวข้องและภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเริ่มต้นจากคณะกรรมการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์จากการทดสอบ PISA
2. จัดประชุมปฏิบัติการ (workshop) อย่างเป็นระบบ โดยจะระดมความคิดและการมีส่วนร่วมจากผู้เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนให้เป็นไปตามนโยบาย

  
>>  ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของ ศธ. และทั้งสังคม เพื่อร่วมกันยกเครื่องการศึกษาไทย
รมว.ศธ.กล่าวด้วยว่า ทั้งหมดนี้เป็นนโยบายสำคัญและแนวความคิดที่จะอาศัยความร่วมมือจากทุกส่วนของ ศธ. เพราะการศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญจำเป็นมากของประเทศในช่วงนี้และช่วงต่อไป การพัฒนาคนเป็นเรื่องจำเป็นที่เราไม่อาจที่จะละเลยได้ เราจะร่วมกันทำในเรื่องที่ยากและท้าทาย คือที่พูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่ยากมาก ต้องอาศัยหลายฝ่าย แต่หากประเทศนี้จะไปรอด จะอยู่ในเวทีแห่งการแข่งขันยุคใหม่ได้ เราต้องปฏิรูปการศึกษาให้ได้ ต้องพัฒนาคนให้ได้ ดังนั้นแม้จะยาก แต่ต้องพยายามช่วยกันให้ได้ และหวังว่าทั้งบุคลากรของการศึกษาจะช่วยกันคิดต่อว่าเราจะทำกันอย่างไร รวมทั้งเสนอความเห็น เสนอขอให้แก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติม ก็ยินดีที่จะรับมาพิจารณาร่วมกัน หวังว่าทุกท่านมีความพร้อมที่จะทำงานในเรื่องยากและอาศัยผู้เกี่ยวข้อง ผู้สนใจในสังคมทั้งสังคม เพื่อร่วมกันยกเครื่องการศึกษาไทยให้มีคุณภาพ รวมพลังในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยต่อไป
>> กำชับให้ทุกหน่วยงานป้องกันแก้ไขปัญหาคอรัปชัน ไม่มีนโยบายให้นำชื่อไปแอบอ้างทั้งด้านดีและลบ
รมว.ศธ.ได้ตอบคำถามของสื่อมวลชน กรณีการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชันว่า ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานทำงานด้วยความสุจริตโปร่งใส กรณีที่เกิดการทุจริตขึ้นแล้ว ก็จะดำเนินการอย่างเคร่งครัด ตรงไปตรงมา เพื่อหาคนทำผิดมาลงโทษและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก  ตั้งแต่การทำงาน การบริหารงาน รวมไปถึงการแต่งตั้งโยกย้าย ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างสุจริต และขอแจ้งไว้ด้วยว่า หากมีใครแอบอ้างถึงตน ซึ่งตนไม่มีนโยบายมอบใครไป หรือว่ามีใครไปแอบอ้างไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือเรื่องไม่ดีก็ตาม หากท่านสงสัยก็ให้มาแจ้งกับตนไว้ก่อน หลักการทำงานในเรื่องนี้ คือต้องใช้หลักความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเที่ยงธรรมประกอบกัน
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเกี่ยวกับการทุจริต จะใช้นโยบายเข้าไปมากนักไม่ได้  แม้นโยบายจะต้องทำตรงไปตรงมา แต่จะไปถึงขั้นกำหนดระยะเวลา ก็จะกลายเป็นการใช้ดุลยพินิจของฝ่ายการเมืองเข้าไปกำหนด แต่ที่สำคัญแน่นอนคือทุกเรื่องต้องไม่ล้มมวย ดังนั้นการจะไปบอกว่าเรื่องนั้นต้องเสร็จเมื่อนั้น เมื่อนี้ หากผู้เกี่ยวข้องบอกว่าต้องมีการสืบสวนสอบสวนและหาหลักฐานอีกมากมาย ก็จะกลายเป็นไปเร่งรัด อาจจะเสียหายอีกแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตามจะทำให้มีประสิทธิภาพ ได้ผลจริง และมีความเที่ยงธรรม



- See more at: 

ครม.ยิ่งลักษณ์5

ที่มา หรือ ดูเพิ่มเติม

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประกาศโรงเรียนบ้านพะวร เรื่อง การขึ้นบัญชีผู้ผ่านการสรรหาและเลือกสรรได้เป็นพนักงานราชการ



ประกาศโรงเรียนบ้านพะวร
เรื่อง  การขึ้นบัญชีผู้ผ่านการสรรหาและเลือกสรรได้เป็นพนักงานราชการ
สังกัดโรงเรียนบ้านพะวร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต ๒
ครั้งที่ี่ ๑/๒๕๕๖
.................................



วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์และผู้ไม่มีสิทธิเข้ารับการสรรหาและเลือกสรรเป็นพนักงานราชการ


ประกาศโรงเรียนบ้านพะวร
เรื่อง  รายชื่อผู้มีสิทธิและผู้ไม่มีสิทธิเข้ารับสรรหาและเลือกสรรเป็นพนักงานราชการ  และ
กำหนดวัน  เวลา สถานที่และระเบียบปฏิบัติในการประเมินความรู้ความสามารถ ทักษะ
และสมรรถนะ เพื่อพิจารณาเลือกสรรเป็นพนักงานราชการสังกัดโรงเรียนบ้านพะวร 
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ  เขต ๒ 
ครั้งที่ ๑ / ๒๕๕๖






วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบ

ทางโรงเรียนบ้านพะวรจะประกาศรายชื่อ
ผู้มีสิทธิเข้ารับการสรรหาฯ 
ภายในวันที่ 8 กรกฎาคม 2556
เนื้อหาวิชาเอกที่จะสอบ 
จะมีทั้งนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประกาศรับสมัครบุคคลเพื่อสรรหาและเลือกสรรเป็นพนักงานราชการ

ประกาศโรงเรียนบ้านพะวร
เรื่อง  รับสมัครบุคคลเพื่อสรรหาและเลือกสรรเป็นพนักงานราชการ
สังกัดโรงเรียนบ้านพะวร  สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ  เขต ๒  
ครั้งที่ ๑ / ๒๕๕๖ ในกลุ่มสาขาวิชา หรือกลุ่มวิชาเอก นาฏศิลป์ , ดุริยางคศิลป์
ระหว่างวันที่ ๑ - ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ 
ผู้สนใจ และมีคุณสมบัติ สมัครได้ด้วยคนเอง 

ที่ โรงเรียนบ้านพะวร 


ตำบลจานแสนไชย อำเภอห้วยทับทัน 

จังหวัดศรีสะเกษ

เหลืออีก  0  วัน




ประกาศรับสมัคร








ใบสมัคร

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สพป.ศก.2

ทางเข้าสำหรับ

ซึ่งเป็นต้นสังกัดของโรงเรียนบ้านพะวร

ประวัติโรงเรียน

วันที่ 25 กันยายน 2553
ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านพะวร พร้อมด้วย คณะครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน
 เข้าเฝ้าถวายพระพรฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
ที่โรงพยาบาลศิริราช


ประวัติโรงเรียนบ้านพะวร

โรงเรียนบ้านพะวรตั้งขึ้นเมื่อวันที่   26   เมษายน พ.ศ.  2479   เป็นสาขาของโรงเรียนประชาบาลตำบลกล้วยกว้าง  1           ( วัดบ้านกล้วยกว้าง โดยนายอำเภออุทุมพรพิสัยเป็นผู้จัดตั้ง   ต่อมาขุนวุฒิกรรมรักษา   นายอำเภออุทุมพรพิสัยจึงจัดตั้งโรงเรียนให้เป็นอิสระ  เมื่อวันที่  17 กรกฎาคม  2479   และให้นามโรงเรียน ใหม่ว่า  โรงเรียนประชาบาลกล้วยกว้าง  3 (วัดบ้านพะวร ดำรงโรงเรียนอยู่ด้วยเงินการประถมศึกษา  จัดสอนตามหลักสูตรประมวลการสอนของกระทรวงศึกษาธิการ   จากชั้นประถมศึกษาปีที่  1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่  4   โดยอาศัยวัดบ้านพะวรเป็นสถานศึกษา
.2514  คณะกรรมการหมู่บ้านและผู้ปกครอง ร่วมกันจัดงานหารายได้และซื้อที่ดิน จำนวน 4 ไร่ เพื่อสร้างอาคารเรียน   ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งโรงเรียนในปัจจุบัน
.2515  ทางราชการอนุมัติเงินงบประมาณ   120,000   บาท  ( หนึ่งแสนสองหมื่นบาทถ้วน สร้างอาคารเรียนแบบ ป. 1 ซ4  ห้องเรียนใต้ถุนสูง   เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้ว   ย้ายจากศาลาวัดบ้านพะวร  มาอยู่   เมื่อวันที่  16  กรกฎาคม  2515   และคณะกรรมการจัดหารายได้ ซื้อที่ดินเพิ่มเติมด้านทิศตะวันตกเพิ่มเติมอีก  1  ไร่เศษ   พร้อมทั้งสร้างรั้วลวดหนามรอบบริเวณทั้งหมดเรียบร้อย
.2517   ทางราชการอนุมัติเงินงบประมาณก่อสร้างบ้านพักครู  1  หลัง   ได้รับบริจาคที่ดิน                    ทำถนนเข้าสู่บริเวณโรงเรียน   เชื่อมถนนใหญ่จากเจ้าของที่ดิน  3  ราย
.2518   คณะกรรมการจัดหารายได้   เจาะบ่อน้ำบาดาล   แก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำและลาดพื้นคอนกรีตใต้ถุนอาคารเรียน
.2519   คณะกรรมการหมู่บ้าน  ผู้ปกครอง  คณะครู  บริจาควัสดุและแรงงานลาดพื้นคอนกรีตใต้ถุนอาคารเรียน   ได้รับงบประมาณสนับสนุน  จากโครงการ ป....    จำนวน   30,000  บาท ( สามหมื่นบาทถ้วน )   ต่อเติมอาคารเรียนชั้นล่าง  4  ห้องเรียน   ทางราชการอนุมัติเงินงบประมาณก่อสร้างบ้านพักครู 1  หลัง
.2520  แบ่งเขตการปกครองจากอำเภออุทุมพรพิสัย   เป็นกิ่งอำเภอห้วยทับทัน  และเปิดสอนพิเศษหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ   ของกรมสามัญศึกษา   โดยการแก้ไขปัญหาคนไม่รู้หนังสือไม่จบ ป .
คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้ปกครอง จัดงานหารายได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมด้านทิศตะวันตกให้จดถนนใหญ่   จำนวน  2 ไร่  1 งาน  ราคา  15,400  บาท (หนึ่งหมื่นห้าพันสี่ร้อยบาทถ้วน )   
ทางราชการอนุมัติเงิน    งบประมาณ 180,000 บาท ( หนึ่งแสนแปดหมื่นบาทถ้วน ก่อสร้างอาคารเรียน  แบบ  ศก. 02  จำนวน    3    ห้องเรียน  ใต้ถุนสูง
.2521  คณะกรรมการ ผู้ปกครองนักเรียน คณะครู ร่วมบริจาคเสาเข็ม ลวดหนาม แรงงานล้อมบริเวณโรงเรียนทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย
.2522   เป็นโรงเรียนนำร่อง ทดลองวิจัยการใช้หลักสูตรใหม่ พ.2521 ของจังหวัด ศรีสะเกษ   ทางราชการอนุมัติเงินงบประมาณก่อสร้างบ้านพักครู  1  หลัง
.2523   ได้รับเงินงบประมาณ  80,000   บาท ( แปดหมื่นบาทถ้วน )   ก่อสร้างโรงฝึกงานและต่อเติมอาคารเรียน  ศก. 02   จำนวน   1   ห้องเรียน 
 เปิดสอนนักเรียนชั้นเด็กเล็กที่มีปัญหาทางภาษา  กรมอนามัยสร้างถังเก็บน้ำฝนแบบ  ฝ. 33  จำนวน  1  ชุด   โดยคณะกรรมการหมู่บ้าน   ผู้ปกครองนักเรียน   บริจาคสมทบ  จำนวน  8,650  บาท    
 ( แปดพันหกร้อยห้าสิบบาทถ้วน  )
.. 2524ได้รับงบประมาณต่อเติมอาคารเรียนชั้นล่าง แบบ ศก02 จำนวน  2 ห้องเรียน   เป็นศูนย์วิชาการกลุ่มโรงเรียน ได้รับงบประมาณก่อสร้างส้วม 1 หลัง  จำนวน  5  ที่
.2525   เปิดสอนกลุ่มสนใจทางวิทยุไปรษณีย์และกลุ่มสนใจเพาะเห็ดแก่ประชาชน  สร้าง
ซุ้มประตูทางเข้าโรงเรียนจากงบประมาณบริจาค   จำนวน  10,000  บาท  ( หนึ่งหมื่นบาทถ้วน  )
.2526   คณะกรรมการศึกษา    คณะศิษย์เก่า   คณะครู   จัดงานชุมนุมศิษย์เก่า  ได้รับบริจาคม้าหินอ่อน   จำนวน   42  ตัว  ราคา  10,500  บาท ( หนึ่งหมื่นห้าร้อยบาทถ้วน และได้รับชุดกลองพาเหรด   เครื่องดนตรี  ชุดกีฬาจากคณะศิษย์เก่านำลูกเสือ เนตรนารี   เข้าค่ายพักแรม ตามหลักสูตรเป็นปีแรก  ได้รับงบประมาณสร้างส้วม  1   หลัง  4  ที่   คณะครูจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อก่อสร้างส้วม   จำนวน   81  ตารางวาดำเนินงานโรงเรียนในโครงการ  กศ. พช.   ของจังหวัดศรีสะเกษ  และขอขยายเขตไฟฟ้าใช้ในโรงเรียนจากงบประมาณบริจาครับนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาจากวิทยาลัยครูสุรินทร์   ได้ดำเนินการโครงการอาหารกลางวัน   และได้จัดการแข่งขันกีฬาสัมพันธ์   กีฬาภายในโรงเรียนซึ่งจัดเป็นปีแรก
.2527   โรงเรียนได้รับงบประมาณ  600,000  บาท ( หกแสนหกหมื่นบาทถ้วน )   สร้างอาคารเรียนแบบ  สปช. 104 / 26   ขนาด  3  ห้องเรียน
.2528   สภาตำบลจานแสนไชย   เจาะบ่อบาดาลตามโครงการ  กสชให้โรงเรียน  จำนวน 1 ที่
.2529 ได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์  สปช. 102/26  จำนวน 1  หลัง
.2530   ได้รับงบประมาณสร้างส้วม  1  หลัง   2  ที่   เรือนเพาะชำ  1  ที่
.2530  ได้สร้างฐานพระพุทธรูปด้วยเงินบริจาค   ห้องน้ำ  1  หลัง  2  ที่  ด้วยเงินบริจาค  จากคณะกรรมการศึกษาและผู้ปกครองนักเรียน
.2533 ได้รับงบประมาณก่อสร้างบ้านพักภารโรง  1  หลัง   ส้วม  1 หลัง  4  ที่ 
.2535   ได้ติดตั้งระบบจ่ายน้ำประปาในโรงเรียน   ได้รับงบประมาณจากโครงการสงเคราะห์เด็กและชุมชน  จากประเทศเนเธอร์แลนต์
.. 2538   คณะกรรมการศึกษา  ผู้นำหมู่บ้าน  ผู้ปกครองนักเรียน  คณะครู   บริจาคเงินซื้อที่ดินขยายเขตพื้นที่โรงเรียน  จำนวน  1  งาน
.2539 โรงเรียนได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียนแบบ สปช.105/29   1  หลัง                           จำนวน 4 ห้องเรียน
.2542   โรงเรียนได้รับงบประมาณต่อเติมอาคารเรียน     สปช.   105/29    จำนวน  4  ห้องเรียน
.2544  คณะศิษย์เก่า  กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  ผู้ปกครองนักเรียน  คณะครู   ได้ร่วมกันจัดผ้าป่าหารายได้  สร้างรั้วโรงเรียน  พร้อมทั้งปรับปรุงสนามกีฬา 
พ.ศ. 2549  ได้รับอนุมัติให้ขยายชั้นเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเป็นเอกเทศ
พ.ศ. 2550  ได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียน  แบบ  สปช. 105/29  จำนวน  1  หลัง  4  ห้อง เรียน  งบประมาณ  2,188,000  บาท  พร้อมปรับปรุงสนามกีฬา  ก่อสร้างถนนคอนกรีตรอบโรงเรียน  และปรับปรุงอาคารสถานที่อื่น ๆ
                     พ.ศ. 2552  มีนักเรียนจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่  3  เป็นรุ่นแรก

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผลงานทางวิชาการ


นายสำราญ  สมบูรณ์
รองผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านพะวร

ชื่อผลงานทางวิชาการ :  

ผลงานของเรา


คนเก่งของเรา
ผลการแข่งขันระดับชาติ ปี 2555
ลำดับ
หมวดหมู่
รายการ
คะแนน
เหรียญ
อันดับ
นักเรียน
ครู
1
การศึกษาพิเศษ(โรงเรียนเรียนร่วม)
ศาสตร์คณิตในชีวิตประจำวัน ประเภทบกพร่องทางการได้ยิน ป.1-ป.6
-1
-
1. เด็กชายสุธี   วงค์ภักดี
2. เด็กหญิงอรวรรณ   วงค์ภักดี
 
1. นางสาวกาญจนา   สมบัติ
2. นายสุวัฒน์  อาจสาลี
 
2
การศึกษาพิเศษ(โรงเรียนเรียนร่วม)
มารยาทงามอย่างไทย ประเภทบกพร่องทางการได้ยิน ไม่กำหนดช่วงชั้น
88.31
ทอง
รองชนะเลิศอันดับที่ ๒
1. เด็กชายสุธี  วงค์ภักดี
2. เด็กหญิงอรวรรณ  วงค์ภักดี
 
1. นางสาวธิดา  ใจมั่น
2. นางวัชรีภรณ์  กิจเกียรติ์
 
3
การศึกษาพิเศษ(โรงเรียนเรียนร่วม)
การทำอาหาร ประเภทบกพร่องทางการได้ยิน ไม่กำหนดช่วงชั้น
-1
-
1. เด็กหญิงพิชญา  แพทย์มด
2. เด็กชายสุธี   วงค์ภักดี
3. เด็กหญิงอรวรรณ   วงค์ภักดี
 
1. นางสาวขนิษฐา  คำด้วง
2. นางนันทิยา  สังข์ขาว
 
4
การศึกษาพิเศษ(โรงเรียนเรียนร่วม)
การประดิษฐ์งานใบตองประเภทบายศรีปากชาม ประเภทบกพร่องทางการได้ยิน ไม่กำหนดช่วงชั้น
90
ทอง
รองชนะเลิศอันดับที่ ๑
1. เด็กหญิงพิชญา  แพทย์มด
2. เด็กชายสุธี   วงค์ภักดี
3. เด็กหญิงอรวรรณ   วงค์ภักดี
 
1. นางสาวนภาภรณ์  แก้วอุดม
2. นางสาวพนิดา  เย็นใจ
 
5
การศึกษาพิเศษ(โรงเรียนเรียนร่วม)
งานประดิษฐ์ของใช้จากเศษวัสดุเหลือใช้ ประเภทบกพร่องทางการได้ยิน ไม่กำหนดช่วงชั้น
73.7
เงิน
รองชนะเลิศอันดับที่ ๒
1. เด็กหญิงพิชญา  แพทย์มด
2. เด็กชายสุธี   วงค์ภักดี
3. เด็กหญิงอรวรรณ   วงค์ภักดี
 
1. นายวรวิทย์  ธรรมนิยม
2. นายสุรวุฒิ  พิลัย
 
6
การศึกษาพิเศษ(โรงเรียนเรียนร่วม)
งานประดิษฐ์ของเล่นจากเศษวัสดุเหลือใช้ ประเภทบกพร่องทางการได้ยิน ไม่กำหนดช่วงชั้น
77
เงิน
รองชนะเลิศอันดับที่ ๑
1. เด็กหญิงพิชญา  แพทย์มด
2. เด็กชายสุธี   วงค์ภักดี
3. เด็กหญิงอรวรรณ   วงค์ภักดี
 
1. นายวรวิทย์  ธรรมนิยม
2. นายสำราญ  สมบูรณ์
 
7
การศึกษาพิเศษ(โรงเรียนเรียนร่วม)
การร้อยมาลัยดอกไม้สด ประเภทบกพร่องทางการได้ยิน ไม่กำหนดช่วงชั้น
67.6
ทองแดง
รองชนะเลิศอันดับที่ ๑
1. เด็กหญิงพิชญา  แพทย์มด
2. เด็กชายสุธี   วงค์ภักดี
3. เด็กหญิงอรวรรณ   วงค์ภักดี
 
1. นางสาวขนิษฐา  คำด้วง
2. นางสาวสุพิชชา  วงศ์ภักดี
 
8
การศึกษาพิเศษ(โรงเรียนเรียนร่วม)
การจัดสวนถาดแบบชื้น ประเภทบกพร่องทางการได้ยิน ไม่กำหนดช่วงชั้น
87.66
ทอง
4
1. เด็กหญิงพิชญา  แพทย์มด
2. เด็กชายสุธี   วงค์ภักดี
3. เด็กหญิงอรวรรณ   วงค์ภักดี
 
1. นางนิสสรณ์  ทวีชาติ
2. นายวัฒนา  โคตรเนตร
 
9
การศึกษาพิเศษ(โรงเรียนเรียนร่วม)
การจัดสวนถาดแบบแห้ง ประเภทบกพร่องทางการได้ยิน ไม่กำหนดช่วงชั้น
87.1
ทอง
ชนะเลิศ
1. เด็กหญิงพิชญา  แพทย์มด
2. เด็กชายสุธี   วงค์ภักดี
3. เด็กหญิงอรวรรณ   วงค์ภักดี
 
1. นายปิยะ  ไตรยงค์
2. นายวัชระ  ศรีวิพันธุ์
 
อ้างอิง